o

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
การเเบ่งโปรโตรคอลออกเป็น 7 Layer ตามมาตรฐาน OSI
ดังที่ได้ทราบกันว่าโปรโตคอลหมายถึง ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่ทำงานบนระบบเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่จะรับส่งข้อมูลกันได้ควรจะมีการสร้างความเข้าใจต่อกันเกี่ยวกับฟอร์แมตของข้อมูลและสถานะการทำงานต่างๆ แต่เนื่องจากองค์ประกอบต่างๆ ภายในข้อกำหนดที่จะทำให้การสื่อสารระหว่างเครื่องสองเครื่องหรือมากว่าสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี มีอยู่หลายองค์ประกอบด้วยกัน และเป็นการยากที่จะมีผู้ผลิตรายไหนที่สามารถสร้างองค์ประกอบต่างๆ ขึ้นมาได้ด้วยตนเองทั้งหมด ดังจะได้เห็นจากตัวอย่างการทำงานของแต่ละเลเยอร์ดังนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแต่ละเลเยอร์นั้นมักจะมีผู้ชำนาญเฉพาะทาง เข้ามารับผิดชอบในการผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ขึ้นมาทำงาน
-ในระดับ Physical Layer ซึ่งเป็นระดับล่างสุดที่เกี่ยวข้องกับสายเคเบิลและการ Wiring สายโดยตรงเราก็จะต้องมีผู้ผลิตสายเคเบิลประเภทต่างๆ ขึ้นมา อย่างเช่น สายไฟเบอร์ออปติก สาย UTP CAT5, CAT8E และ CAT6 ผู้ผลิตเหล่านี้ก็อย่างเช่น AT&T, AMP เป็นต้น นอกจากนั้นเลเยอร์นี้จะกำหนดมาตรฐานในการรับส่งสัญญาณทางไฟฟ้า (Electrical Signal) บนสาบเคเบิ้ลนั้นๆ ด้วย เช่น ส่งด้วยการหักล้างหรืออาศัยผลต่างของสัญญาณทางไฟฟ้า (ที่ใช้ในสาย UTP) หรือส่งด้วยลำแสง (ที่ใช้ในสายไฟเบอร์) องค์กรที่กำหนดมาตรฐานดังกล่าวนี้ คือ IEEE
-ในระดับ DataLink Layer ซึ่งเป็นระดับที่กำหนดฟอร์แมตของเฟรมว่าต้องมีฟิลด์ใดบ้าง และกำหนดอัลกอลิทึมในการส่งข้อมูลไปบนสายเคเบิล ตัวอย่างของโปรโตคอลในระดับนี้ได้แก่ อัลกอริทึมแบบ CSMA/ CD ที่ใช้ในเน็ตเวิร์กแบบอีเทอร์เน็ต และอัลกอริทึมแบบ Token Passing ที่ใช้ในเน็ตเวิร์กแบบ Token Ring ซึ่งอาศัยหลักการว่าใครจับโทเค็น (Token) ได้ก็จะมีสิทธิในการส่งข้อมูลผู้รับผิดชอบในเลเยอร์นี้มักได้แก่ ผู้ผลิตเน็ตเวิร์กการ์ดที่ติดตั้งไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์กต่างๆ
-ในระดับ Network / Transport โดยปกติผู้สร้างและพัฒนาระบบปฏิบัติการเครือข่ายมักจะสร้างไดรเวอร์สำหรับโปรโตคอลในเลเยอร์ Network/Transport มาให้พร้อมกับระบบปฏิบัติการอยู่แล้วอย่างเข่น ใน UNIX และใน Windows NT,2000, 2003 จะมีไดรเวอร์สำหรับโปรโตคอล TCP/IP บรรจุอยู่ภายใน โปรโตคอล TCP/IP ทำงานอยู่ในเลเยอร์ Network และ Transport โดยโปรโตคอล IP ทำงานในระดับ Network Layer และโปรโตคอล TCP อยู่ในระดับ Transport Layer หรืออีกตัวอย่างหนึ่งทางบริษัทโนเวลผู้ผลิตเนตแวร์ก็ได้สร้างไดรเวอร์ของโปรโตคอล IPX/SPX ขึ้นมาทำงานภายในเน็ตแวร์เซิร์ฟเวอร์และเน็ตแวร์ไคลเอนต์ของตน นอกจากนั้นผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์กอย่างซิสโก้ก้ได้สร้าง "เร้าเตอร์" ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบในการรับส่งแพ็กเก็ตในเลเยอร์ Network ระหว่างเน็ตเวิร์กต่างๆ เช่น รับส่งแพ็กเก็ต IP และแพ็กเก็ต IPX
- ในระดับ Session / Presentation และ Application ผู้รับผิดชอบในเลเยอร์มักได้แก่ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่นขึ้นมาทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์โดยอาศัยบริการขั้นพื้นฐานในการรับส่งแพ็กเก็ตข้อมูลจากเลเยอร์ที่ต่ำกว่า
เราจะเห็นได้จากคำอธิบายข้างต้นว่า การแบ่งโปรโตคอลออกเป้นหลายๆ เลเยอร์ช่วยทำให้ผู้ผลิตแต่ละรายสามารถพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับโปรโตคอลในแต่ละเลเยอร์ได้โดยอิสระ ตามความถนัดและประสบการณ์เฉพาะทางของตนเอง อย่างเช่น AMP ผลิตสื่อนำสัญญานความเร็วสูงขึ้นมาใช้งานในระดับฟิสิคัลเลเยอร์ ในขณะที่ Intel และ 3COM เป็นผู้ผลิตเน็ตเวิร์กการ์ดขึ้นมาใช้งานในเน็ตเวิร์กแบบอีเทอร์เน็ตซึ่งอยู่ในระดับดาต้าลิงก์เลเยอร์ และไมโครซอฟท์เป็นผู้สร้างไดรเวอร์สำหรับโปรโตคอล TCP/IP ขึ้นมาในระบบปฏิบัติการวินโดวส์ พร้อมทั้งได้ให้ API สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชั่นให้ทำงานบนโปรโตคอล TCP/IP
แต่เมื่อมีการแบ่งแยกออกเป็น 7 เลเยอร์แล้ว การทำให้ทั้ง 7 เลเยอร์ทำงานผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นก็ต้องอาศัยหลักการส่งผ่านข้อมูลจากเลเยอร์บนคือ เลเยอร์ที่ 7 ลงไปจนถึงเลเยอร์สุดท้ายที่ระดับฟิสิคัลเลเยอร์ในฝั่งผู้ส่ง และมีการส่งผ่านย้อนกลับจากระดับฟิสิคัลเลเยอร์ขึ้นไปจนถึงเลเยอร์ที่ 7 อีกครั้งในฝั่งผู้รับ โดยในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเลเยอร์ที่สูงกว่ากับเลเยอร์ที่ต่ำกว่านั้นจะผ่านทาง "จุดเชื่อมต่อการให้บริการ (Service Access point)"
โดยสรุป ข้อดีของการแบ่งออกเป็น 7 เลเยอร์ได้แก่
-ผู้ผลิตแต่ละรายสามารถทำงานในเลเยอร์ที่ตนถนัดได้อย่างเต็มที่
-เปิดช่องทางให้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ของผู้ผลิตต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้
-ง่ายต่อการพัฒนาโปรโตคอลในแต่ละเลเยอร์และง่ายต่อการเรียนรู้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น