รูปถัดไปแสดงโมเดลของ Core, Distribution และ Access Layer
- Access Layer จะเป้นเลเยอร์ที่ใกล้ชิดติดกับผู้ใช้มากที่สุด เป็นจุดที่นำเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เข้าสู่ระบบเครือข่ายสำหรับ LAN และ Campus Network อุปกรณ์เน็ตเวิร์กที่ทำงานอยู่ในเลเยอร์นี้มักเป็นสวิตซ์เลเยอร์ 2 ตัวเล็กๆ ที่มีจำนวนพอร์ตที่เพียงพอต่อการรองรับการเชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ผ่านทางสายเคเบิล เช่น UTP สวิตซ์ที่ว่านี้จำเป็นต้องมีพอร์ต UPLINK เพื่อเชื่อมโยงขึ้นไปยังสวิตซ์ที่อยู่ในระดับ Dritribution Layer หรือระดับ Core Layer (แล้วแต่การออกแบบ) ความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ทำงานในเลเยอร์นี้คือ ควรมีต้นทุนของอุปกรณ์ที่ต่ำ ยังไม่จำเป็นต้องมีฟีเจอร์ขั้นสูงมากนัก และควรติดตั้งได้ง่ายใช้เวลาไม่นาน
- Distribution Layer เป็นจุดที่รองรับการเชื่อมต่อจาก Access Layer หลายๆ จุดเข้าด้วยกัน และผ่านต่อไปยัง Core Layer สำหรับ LAN และ Campus Network อุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในเลเยอร์นี้มักเป็นสวิตซ์ที่มีประสิทธิภาพ มีฟีเจอร์ขั้นสูงพอสมควรและมีจำนวนพอร์ตมากพอสำหรับรองรับการเชื่อมโยงไปยังสวิตซ์ที่ทำงานอยู่ใน Access Layer สวิตซ์ในเลเยอร์นี้ถือได้ว่าเป็นเสมือน "จุดศูนย์รวม" ของสวิตซ์ต่างๆ ที่อยู่ในเลเยอร์ Access Layer เพื่อให้ผู้ใช้ที่เชื่อมต่อเข้ากับสวิตซ์ใน Access Layer ตัวหนึ่งสามารถพูดคุยและสื่อสารกันกับผู้ใช้ที่เชื่อมต่อเข้ากับสวิตซ์ตัวอื่นๆ ใน Access Layer ได้ ภายในสวิตซ์ที่อยู่ใน Distribution Layer นี้ควรมีการอิมพลีเมนต์ฟีเจอร์อย่างเช่น InterVLAN Routing, Access Control Lists (ACL) หรือรวมถึง QoS และ Policy ต่างๆ ในการใช้งานเน็ตเวิร์กด้วย สวิตซ์ที่ทำงานในเลเยอร์นี้มักเป็นสวิตซ์เลเยอร์ 3
- Core Layer เป็นจุดศูนย์กลางและหัวใจหลักของเน็ตเวิร์ก ทำหน้าที่เชื่อมต่อ Distribution Layer หลายๆ จุดเข้าไว้ด้วยกัน เลเยอร์นี้ควรสามารถรับส่งแพ็กเก็ตได้อย่างรวดเร็วมาก อย่างไรก็ดี ในบางเน็ตเวิร์ก อุปกรณ์ที่ทำงานในเลเยอร์ Core Layer กับ Distribution Layer อาจเป็นตัวเดียวกันก็ได้ คือมีสวิตซ์ตัวหลักหนึ่งตัวที่ทำหน้าที่เป็น Core Switch และมีสวิตซ์ปลายทางหลายๆ ตัวทำหน้าที่เป็น Access Switch
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น